7 เทคนิคสร้าง Work-Life Balance สำหรับฟรีแลนซ์ทำงานที่บ้าน
23 มิถุนายน 2559

 

อาจจะเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน กับการนั่งทำงานชิล ๆ อยู่ที่บ้าน แน่สิ ก็บ้านเราออกจะน่าอยู่ขนาดนี้ (?) มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ทีวี ตู้เย็น ไมโครเวฟ เกมคอนโซล เรียกได้ว่าครบ จะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า จะทำงาน จะเล่น จะพักผ่อนตอนไหนก็ได้ แต่ ๆๆๆ ถึงฟรีแลนซ์จะมีชีวิตอิสระ สามารถนั่งทำงานที่บ้านได้ก็จริง แต่คุณก็ควรที่จะจัดพื้นที่ทำงานให้เป็นกิจลักษณะเสียหน่อย ใช่ว่าจะนั่งทำงานในห้องนอนสบาย ๆ ในชุดนอนเน่า ๆ แบบนั้นแทนที่จะได้ทำงาน อาจกลายเป็นนอนทั้งวันไปแทน การขีดเส้นคั่นระหว่างการทำงานและการพักผ่อนออกจากกันจึงเป็นเรื่องสำคัญ อาจจะดูเป็นเรื่องยาก แต่คนที่เป็นมืออาชีพเขาทำกันได้สบาย ๆ ทั้งนั้นแหละ และนี่คือทิปส์เล็ก ๆ น้อย ๆ 7 ข้อ ที่ช่วยสร้าง Work-Life Balance สำหรับคนทำงานที่บ้าน ที่เราได้รวบรวมมา

 

1. แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนไปทำงานนอกบ้าน

ลองนึกถึงเวลาที่คุณไปทำงานออฟฟิศ ก่อนออกจากบ้านก็ต้องอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าไปทำงาน การนั่งทำงานอยู่ที่บ้านก็เหมือน ๆ กัน แม้ว่าคุณไม่ต้องออกจากบ้าน แต่การนั่งทำงานในชุดนอน สภาพหัวกระเซิง เพิ่งลุกขึ้นจากเตียง อาจทำให้การทำงานของคุณไม่ได้ประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องใส่ส้นสูงหรือสูทตัวเก่งมานั่งทำงาน อันนั้นก็ดูเกินไปหน่อย ขอแค่ใส่เป็นชุดที่คุณพร้อมทำงาน นั่นจะทำให้คุณรู้ตัวอยู่เสมอว่า ณ เวลานั้น คุณต้องทำอะไร ลองนึกสภาพระหว่างการที่ตัวคุณอยู่ในชุดนอนกับชุดทำงาน แบบไหนมันเย้ายวนใจให้ทำอะไรมากกว่ากัน เมื่อคุณอยู่ในชุดทำงาน คุณจะรู้สึกได้เองว่าคุณต้องทำงาน รู้สีกอยู่ในบรรยากาศของการทำงานอยู่ตลอด ในขณะที่คุณอยู่ในชุดนอน ความรู้สึกมันก็ต่างกันแล้ว ว่าไหม

 

2. จัดพื้นที่สำหรับการทำงานโดยเฉพาะ

จะว่าไปก็เหมือนกับการที่คุณแต่งตัวไปทำงานนั่นแหละ การเพ่งสมาธิกับการทำงานในพื้นที่ที่กำหนดไว้อย่างออฟฟิศ หรือพื้นที่อื่นๆ ที่คุณแยกออกมาจากบริเวณที่เป็นพื้นที่พักผ่อน จะช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับคนที่ทำงานอยู่บ้าน ด้วยความที่ภายในบ้านนั้นต่างมีสิ่งที่สามารถดึงสมาธิการทำงานของเราออกไปได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นเกม ทีวี หรือแม้กระทั่งที่นอน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการทำงานทั้งสิ้น การจัดพื้นที่ทำงานให้เป็นที่เป็นทาง แยกออกจากพื้นที่ส่วนตัว จึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยทีเดียวล่ะ

 

3. สื่อสารให้มีประสิทธิภาพ

การทำงานที่บ้าน ถึงแม้จะสะดวกสำหรับคุณก็จริง แต่สิ่งที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งเลยก็คือ คุณจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างคุณกับทีมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากเมื่อเทียบกับการนั่งทำงานแบบเห็นหน้าค่าตากันที่ออฟฟิศ ที่เวลาเกิดปัญหาก็สามารถแก้ไขได้ทันที ดังนั้นเพื่อลดปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างทีม คุณควรมีตัวช่วยในการทำงานอย่าง slack ที่จะช่วยให้การทำงานของคุณเป็นเรื่องง่าย (สามารถอ่านรายละเอียดได้จากบทความ :  https://www.freelancebay.com/article/51) หรืออาจโทรติดต่อกันเป็นครั้งๆ เพราะการสื่อสารผ่านตัวอักษรเพียงอย่างเดียวอาจสื่อความได้ไม่ครบถ้วน และอาจเข้าพบลูกค้าบ้างในกรณีที่จำเป็นจริงๆ

 

4. หาเวลาพักผ่อนบ้างเป็นครั้งคราว

อีกหนึ่งอุปสรรคใหญ่ที่ทำลาย Work-Life Balance ของหลาย ๆ คนที่ทำงานอยู่บ้าน คือการขลุกตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปไหนมาไหน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะการเอาแต่ขลุกตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ทำให้ในแต่ละวันของคุณมีแต่เรื่องงาน งาน และงาน คุณควรหาเวลาออกนอกบ้านไปเปิดหูเปิดตา หาเวลาพักสมองจากเรื่องงานบ้าง เพราะไอเดียใหม่ๆ แรงบันดาลใจดีๆ มักเกิดขึ้นเวลาที่คุณรู้สึกดี อยู่ในช่วงผ่อนคลายอารมณ์ การทำงานอยู่บ้านไม่ได้แปลว่าคุณต้องทำงานตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้ให้พักผ่อนตลอดเวลาจนเสียการเสียงานเหมือนกัน

 

5. กำหนดเวลาทำงานให้ชัดเจน

ถึงแม้คุณจะเป็นฟรีแลนซ์ มีเวลาเป็นของตัวเอง 24 ชั่วโมงก็ตาม แต่คุณก็ควรกำหนดกรอบเวลาการทำงานของตัวเอง เหมือน ๆ กับที่คนทำงานออฟฟิศเข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 6 โมงเย็นนั่นแหละ จริงอยู่ที่ลูกค้านั้นสำคัญและควรให้เขาติดต่อคุณได้ตลอดเวลาถ้าเป็นไปได้ แต่การปล่อยปละละเลยให้ลูกค้าติดต่อเข้ามาในเวลาที่คุณกำลังพักผ่อนก็ไม่ใช่หนทางที่ดีนัก นอกจากจะทำให้ลูกค้าได้ใจแล้ว ยังทำให้ Work-Life Balance ของคุณแย่ลงไปอีก ดีที่สุดคือคุณควรจัดเวลาทำงานของคุณให้ตรงกับเวลาทำงานของลูกค้า และสื่อสารออกไปให้ชัดเจนว่าช่วงเวลาการทำงานของคุณอยู่ที่ไหน ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง (ยกเว้นในกรณีฉุกเฉินจริงๆ) และเมื่อถึงเวลาเลิกก็ต้องเลิกจริง ๆ ด้วย การกำหนดเวลาทำงานที่ตรงกับลูกค้า ถ้าว่าไปแล้วก็เหมือนการซื้อใจลูกค้านั่นแหละ เพราะลูกค้าเองก็คงไม่อยากใช้เวลาหลังเลิกงานมาตามงานกับคุณ คุณเองก็เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ

 

6. ให้เวลากับงานที่สำคัญ

คนส่วนมากที่นั่งทำงานอยู่ที่บ้าน มักจะเจอปัญหาการขีดเส้นคั่นระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว (ตัวอย่างเช่น ระหว่างที่คุณกำลังเพ่งสมาธิไปกับการทำงาน จู่ๆ แม่ก็เรียกคุณไปใช้งานซะอย่างนั้น เป็นต้น) ซึ่งในหลายๆ ครั้งทำให้คุณเสียสมาธิจากการทำงานไปบ้าง วิธีแก้ก็คือ คุณควรสื่อสารกับคนที่บ้านให้เข้าใจว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เพราะพวกเขามักจะเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ว่าเรานั่งอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ทำงานทำการ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด รวมถึงในแต่ละวัน ให้คุณทำ To-do list ขึ้นมาว่าในวันนั้นๆ คุณต้องทำอะไรบ้าง และทำให้เสร็จตามที่ list ออกมา หลังเวลางานแล้วก็เอ็นจอยกับครอบครัวให้เต็มที่ ด้วยวิธีนี้จะทำให้คุณไม่พลาดงานที่ต้องทำในแต่ละวัน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวก็ไม่เสียไปอีกด้วย

 

7. หาเวลาผ่อนคลายระหว่างทำงานบ้าง

อาจจะเดินออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง ดื่มชาหรือกาแฟสักแก้วเติมพลังให้หายเหนื่อยจากการทำงาน สักชั่วโมงละ 5 - 10 นาที แล้วค่อยกลับมานั่งที่โต๊ะ การเอาตัวเองออกมาจากบรรยากาศของการทำงานสักเล็กน้อยจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและไม่ตึงเครียดกับการทำงานมากจนเกินไป ทั้งยังช่วยลดความเหนื่อยล้า และสร้าง Productivity ในการทำงานได้ดีกว่าการนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่โต๊ะตลอดเวลา 8 ชั่วโมงอีกด้วย


 

อ่านบทความอื่นๆ ของ FreelanceBay

สมัครสมาชิก FreelanceBay

ติดตาม FreelanceBay จากช่องทางต่างๆ : Facebook | Twitter | Google+

กำลังเชื่อมต่อ